เมนู

ไม่พึงทรงจีวรสีดำล้วน ไม่พึงทรงจีวรสีแสดล้วน ไม่พึงทรงจีวรสีชมพูล้วน
ไม่พึงทรงจีวรที่ไม่ตัดชาย ไม่พึงทรงจีวรมีชายยาว ไม่พึงทรงจีวรมีชายเป็น
ลายดอกไม้ ไม่พึงทรงจีวรมีชายเป็นแผ่น ไม่พึงสวมเสื้อ ไม่พึงสวมหมวก
ไม่พึงทรงผ้าโพก รูปใดทรง ต้องอาบัติทุกกฏ.

เรื่องจีวรยังไม่เกิดแก่ผู้จำพรรษ


[170] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายที่จำพรรษาแล้ว เมื่อจีวรยิ่ง
ไม่เกิดขึ้น หลีกไปเสียบ้าง สึกเสียบ้าง ถึงมรณภาพบ้าง ปฏิญาณเป็นสามเณร
บ้าง ปฏิญาณเป็นผู้บอกลาสิกขาบ้าง ปฏิญาณเป็นผู้ต้องอันเติมวัตถุบ้าง ปฏิ-
ญาณเป็นผู้วิกลจริตบ้าง ปฏิญาณเป็นผู้มีจิตฟุ้งสร้างบ้าง ปฏิญาณเป็นผู้กระ-
สับกระส่ายเพราะเวทนาบ้าง ปฏิญาณเป็นผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่เห็นอาบัติบ้าง
ปฏิญาณเป็นผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่ทำคืนอาบัติบ้าง ปฏิญาณเป็นผู้ถูกสงฆ์ยก
เสียฐานไม่สละคืนทิฏฐิอันลามกบ้าง ปฏิญาณเป็นบัณเฑาะก์บ้าง ปฏิญาณเป็นคน
ลักเพศบ้าง ปฏิญาณเป็นผู้เข้ารีดเดียรถีย์บ้าง ปฏิญาณเป็นสัตว์ดิรัจฉานบ้าง
ปฏิญาณเป็นผู้ฆ่ามารดาบ้าง ปฏิญาณเป็นผู้ฆ่าบิดาบ้าง ปฏิญาณเป็นผู้ฆ่า
พระอรหันต์บ้าง ปฏิญาณเป็นผู้ประทุษร้ายภิกษุณีบ้าง ปฏิญาณเป็นผู้ทำลาย
สงฆ์บ้าง ปฏิญาณเป็นผู้ทำร้ายพระศาสนาจนถึงห้อพระโลหิตบ้าง ปฏิญาณเป็น
อุภโตพยัญชนกบ้าง ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแนะนำ ดังต่อไปนี้:-
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ในข้อนี้ ภิกษุที่จำพรรษาแล้ว เมื่อจีวรยังไม่
เกิดขึ้นหลีกไปเสีย เมื่อผู้รับแทนที่สมควรมีอยู่ สงฆ์พึงให้.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในข้อนี้ ภิกษุที่จำพรรษาแล้ว เมื่อจีวร
ยังไม่เกิดขึ้น สึกเสีย ถึงมรณภาพ ปฏิญาณเป็นสามเณร ปฏิญาณเป็นผู้บอก
ลาสิกขา ปฏิญาณเป็นผู้ต้องอันเติมวัตถุ สงฆ์เป็นเจ้าของ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในข้อนี้ ภิกษุ ที่จำพรรษาแล้ว เมื่อจีวร
ยังไม่เกิดขึ้น ปฏิญาณเป็นผู้วิกลจริต ปฏิญาณเป็นผู้มีจิตฟุ้งสร้าง ปฏิญาณ
เป็นผู้กระสับกระส่ายเพราะเวทนา ปฏิญาณเป็นผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่เห็น
อาบัติ ปฏิญาณเป็นผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่ทำคืนอาบัติ ปฏิฌาณเป็นผู้ถูกสงฆ์
ยกเสียฐานไม่สละคืนทิฏฐิอันลามก เมื่อผู้รับแทนที่สมควรมีอยู่ สงฆ์พึงให้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในข้อนี้ ภิกษุที่จำพรรษาแล้ว เมื่อจีวร
ยังไม่เกิดขึ้น ปฏิญาณเป็นบัณเฑาะก์. . . ปฏิญาณเป็นอุภโตพยัญชนก สงฆ์เป็น
เจ้าของ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในข้อนี้ ภิกษุที่จำพรรษาแล้ว เมื่อจีวร
เกิดขึ้นแล้ว แต่ยังไม่ทันได้แบ่งกัน หลีกไปเสีย เมื่อผู้รับแทนที่สมควรมีอยู่
สงฆ์พึงให้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในข้อนี้ ภิกษุที่จำพรรษาแล้ว เมื่อจีวร
เกิดขึ้นแล้ว แต่ยังไม่ทันได้แบ่งกัน สึกเสีย ถึงมรณภาพ ปฏิญาณเป็น
สามเณร ปฏิญาณเป็นผู้บอกลาสิกขา ปฏิญาณเป็นผู้ต้องอันเติมวัตถุ สงฆ์เป็น
เจ้าของ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในข้อนี้ ภิกษุที่จำพรรษาแล้ว เมื่อจีวร
เกิดขึ้นแต่ยังไม่ทันได้แบ่งกัน ปฏิญาณเป็นผู้วิกลจริต ปฏิญาณเป็นผู้มีจิตฟุ้ง
สร้าง ปฏิญาณเป็นผู้กระสับกระส่ายเพราะเวทนา ปฏิญาณเป็นผู้ถูกสงฆ์ยกเสีย-
ฐานไม่เห็นอาบัติ ปฏิญาณเป็นผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่ทำคืนอาบัติ ปฏิญาณ
เป็นผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่สละคืนทิฏฐิอันลามก เมื่อผู้รับแทนที่สมควรมีอยู่
สงฆ์พึงให้.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในข้อต้น ภิกษุที่จำพรรษาแล้ว เมื่อจีวร
เกิดขึ้นแล้ว แต่ยังไม่ทันได้แบ่งกัน ปฏิญาณเป็นบัณเฑาะก์ . . . ปฏิญาณเป็น
อุภโตพยัญชนก สงฆ์เป็นเจ้าของ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในข้อนี้ เมื่อจีวรยังไม่เกิดขึ้นแก่ภิกษุทั้ง
หลายที่จำพรรษาแล้ว สงฆ์แตกกัน คนทั้งหลายในถิ่นนั้น ถวายน้ำในฝ่าย
หนึ่ง ถวายจีวรในฝ่ายหนึ่ง ด้วยเปล่งวาจาว่า ข้าพเจ้าถวายแก่สงฆ์ นั่นเป็น
ของสงฆ์ฝ่ายเดียว.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในข้อนี้ เมื่อจีวรยังไม่เกิดขึ้นแก่ภิกษุทั้ง
หลายที่จำพรรษาแล้ว สงฆ์แตกกัน คนทังหลายในถิ่นนั้น ถวายน้ำในฝ่าย
หนึ่ง ถวายจีวรในฝ่ายนั้นเหมือนกัน ด้วยเปล่งวาจาว่า ข้าพเจ้าถวายแก่สงฆ์
นั่นเป็นของสงฆ์ฝ่ายเดียว.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในข้อนี้ เมื่อจีวรยังไม่เกิดขึ้นแก่ภิกษุทั้ง
หลายที่จำพรรษาแล้ว สงฆ์แตกกัน ท่านทั้งหลายในถิ่นนั้น ถวายน้ำในฝ่าย
หนึ่ง ถวายจีวรในฝ่ายหนึ่ง ด้วยเปล่งวาจาว่า ข้าพเจ้าถวายฝ่ายหนึ่ง นั่นเป็น
ของเฉพาะฝ่ายหนึ่ง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในข้อนี้ เมื่อจีวรยังไม่เกิดขึ้นแก่ภิกษุทั้ง
หลายที่จำพรรษา สงฆ์แตกกัน ในทั้งหลายในถิ่นนั้น ถวายน้ำในฝ่ายหนึ่ง
ถวายจีวรในฝ่ายนั้นเหมือนกัน ด้วยเปล่งวาจาว่า ข้าพเจ้าถวายแก่ฝ่ายหนึ่ง
นั่นเป็นของเฉพาะฝ่ายหนึ่ง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในข้อนี้ เมื่อจีวรเกิดขึ้นแล้วแก่ภิกษุทั้ง
หลายที่จำพรรษา แต่ยังมิทันได้แบ่ง สงฆ์แตกกัน พึงแบ่งส่วนให้ภิกษุทุกรูป
เท่า ๆ กัน.

เรื่องพระเรวตเถระฝากจีวร


[171] ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านพระเรวตะฝากจีวรแก่ภิกษุรูปหนึ่งไป
ถวายท่านพระสารีบุตร ด้วยสั่งว่า จงถวายจีวรผืนนี้แก่พระเถระ ในระหว่าง
ทางภิกษุรูปนั้นจึงได้ถือเอาจีวรนั้นเสีย เพราะวิสาสะต่อท่านพระเรวตะ.
กาลต่อมา ท่านพระเรวตะมาพบท่านพระสารีบุตร จึงเรียนถามว่า
ผมฝากจีวรมาถวายพระเถระ ๆ ได้รับจีวรนั้นแล้วหรือ ขอรับ ?
ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ผมยังไม่เห็นจีวรนั้นเลย.
ท่านพระเรวตะจึงได้ถามภิกษุรูปนั้นว่า อาวุโส ผมฝากจีวรมาแก่ท่าน
ให้ถวายพระเถระ ไหนจีวรนั้น ?
ภิกษุนั้นตอบว่า ผมได้ถือเอาจีวรนั้นเสีย เพราะวิสาสะต่อท่าน ขอรับ.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแนะนำ ดังต่อไปนี้:-

เรื่องถือวิสาสะ


ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในข้อนี้ ภิกษุฝากจีวรแก่ภิกษุไปด้วยส่ง
ว่า จงให้จีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้ ภิกษุผู้รับฝากถือเอาเสียในระหว่างทางเพราะ
วิสาสะต่อผู้ฝาก ชื่อว่าถือเอาถูกต้อง ถือเอาเสียเพราะวิสาสะต่อผู้รับ ชื่อว่าถือ
เอาไม่ถูกต้อง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในข้อนี้ ภิกษุฝากจีวรแก่ภิกษุไปด้วยสั่ง
ว่า จงให้จีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้ ภิกษุผู้รับฝากถือเอาเสียในระหว่างทาง
เพราะวิสาสะต่อผู้รับ ชื่อว่าถือเอาไม่ถูกต้อง ถือเอาเสียเพราะวิสาสะต่อผู้ฝาก
ชื่อว่าถือเอาถูกต้อง.